}
/* Page Structure
----------------------------------------------- */
#outer-wrapper {
background:url("http://www.blogblog.com/dots/bg_3dots.gif") no-repeat 250px 50px;
width:700px;
margin:0 auto;
text-align:left;
font:normal normal 100% Verdana,Arial,Sans-Serif;
}
#header-wrapper {
display: none;
}
#main-wrapper {
width:450px;
float:right;
padding:100px 0 20px;
font-size:85%;
word-wrap: break-word; /* fix for long text breaking sidebar float in IE */
overflow: hidden; /* fix for long non-text content breaking IE sidebar float */
}
#main {
background:url("http://www.blogblog.com/dots/bg_dots2.gif") -100px -100px;
padding:20px 10px 15px;
}
#sidebar-wrapper {
width:200px;
float:left;
font-size:85%;
padding-bottom:20px;
word-wrap: break-word; /* fix for long text breaking sidebar float in IE */
overflow: hidden; /* fix for long non-text content breaking IE sidebar float */
}
#sidebar {
background:url("http://www.blogblog.com/dots/bg_dots2.gif") 150px -50px;
padding:40px 10px 15px;
width:200px;
width/* */:/**/180px;
width: /**/180px;
}
/* Title & Description
----------------------------------------------- */
.Header h1 {
margin:0 0 .5em;
line-height: 1.4em;
font: normal normal 250% Georgia,Serif;
color: #335533;
}
.Header h1 a {
color:#335533;
text-decoration:none;
}
.Header .description {
margin:0 0 1.75em;
color: #999966;
font: normal normal 100% Verdana, Arial, Sans-Serif;
}
/* Links
----------------------------------------------- */
a:link {
color:#448888;
}
a:visited {
color:#888855;
}
a:hover {
color:#888855;
}
a img {
border-width:0;
}
/* Posts
----------------------------------------------- */
h2.date-header {
margin:0 0 .75em;
padding-bottom:.35em;
border-bottom:1px dotted #99bb99;
text-transform:uppercase;
letter-spacing:.3em;
color: #666633;
font: normal normal 95% Georgia, Serif;
}
.post {
margin:0 0 2.5em;
}
.post h3 {
margin:.25em 0;
line-height: 1.4em;
font: normal normal 100% Georgia,Serif;
font-size: 130%;
font-weight: bold;
color:#999966;
background:url("http://www.blogblog.com/dots/bg_post_title.gif") no-repeat left .25em;
padding:0 0 1px 45px;
}
.post h3 a {
text-decoration:none;
color: #999966;
}
.post h3 a:hover {
color: #333333;
}
.post p {
margin:0 0 .75em;
line-height:1.6em;
}
.post-footer {
margin:0;
}
.uncustomized-post-template .post-footer {
text-align: right;
}
.uncustomized-post-template .post-author,
.uncustomized-post-template .post-timestamp {
display: block;
float: left;
margin-right: 4px;
text-align: left;
}
.post-author, .post-timestamp {
color:#999966;
}
a.comment-link {
/* IE5.0/Win doesn't apply padding to inline elements,
so we hide these two declarations from it */
background/* */:/**/url("http://www.blogblog.com/dots/icon_comment.gif") no-repeat left .25em;
padding-left:15px;
}
html>body a.comment-link {
/* Respecified, for IE5/Mac's benefit */
background:url("http://www.blogblog.com/dots/icon_comment.gif") no-repeat left .25em;
padding-left:15px;
}
.post img {
margin:0 0 5px 0;
padding:4px;
border:1px solid #99bb99;
}
.feed-links {
clear: both;
line-height: 2.5em;
}
#blog-pager-newer-link {
float: left;
}
#blog-pager-older-link {
float: right;
}
#blog-pager {
text-align: center;
}
/* Comments
----------------------------------------------- */
#comments {
margin:0;
}
#comments h4 {
margin:0 0 10px;
border-top:1px dotted #99bb99;
padding-top:.5em;
line-height: 1.4em;
font: bold 110% Georgia,Serif;
color:#333;
}
#comments-block {
line-height:1.6em;
}
.comment-author {
background:url("http://www.blogblog.com/dots/icon_comment.gif") no-repeat 2px .35em;
margin:.5em 0 0;
padding-top: 0;
padding-bottom:0;
padding-left:20px;
padding-right:20px;
font-weight:bold;
}
.comment-body {
margin:0;
padding-top: 0;
padding-bottom:0;
padding-left:20px;
padding-right:20px;
}
.comment-body p {
margin:0 0 .5em;
}
.comment-footer {
margin:0 0 .5em;
padding:0 0 .75em 20px;
padding-top: 0;
padding-bottom:.75em;
padding-left:20px;
padding-right:0;
color:#996;
}
.comment-footer a:link {
color:#996;
}
.deleted-comment {
font-style:italic;
color:gray;
}
/* More Sidebar Content
----------------------------------------------- */
.sidebar h2 {
margin:2em 0 .75em;
padding-bottom:.35em;
border-bottom:1px dotted #99bb99;
line-height: 1.4em;
font-size: 95%;
font: normal normal 100% Georgia,Serif;
text-transform:uppercase;
letter-spacing:.3em;
color:#666633;
}
.sidebar p {
margin:0 0 .75em;
line-height:1.6em;
}
.sidebar ul {
list-style:none;
margin:.5em 0;
padding:0 0px;
}
.sidebar .widget {
margin: .5em 0 1em;
padding: 0 0px;
line-height: 1.5em;
}
.main .widget {
padding-bottom: 1em;
}
.sidebar ul li {
background:url("http://www.blogblog.com/dots/bullet.gif") no-repeat 3px .45em;
margin:0;
padding-top: 0;
padding-bottom:5px;
padding-left:15px;
padding-right:0;
}
.sidebar p {
margin:0 0 .6em;
}
/* Profile
----------------------------------------------- */
.profile-datablock {
margin: 0 0 1em;
}
.profile-img {
float: left;
margin-top: 0;
margin-bottom:5px;
margin-left:0;
margin-right:8px;
border: 4px solid #cc9;
}
.profile-data {
margin: 0;
line-height: 1.5em;
}
.profile-textblock {
clear: left;
margin-left: 0;
}
/* Footer
----------------------------------------------- */
#footer {
clear:both;
padding:15px 0 0;
}
#footer p {
margin:0;
}
/* Page structure tweaks for layout editor wireframe */
body#layout #sidebar, body#layout #main,
body#layout #main-wrapper,
body#layout #outer-wrapper,
body#layout #sidebar-wrapper {
padding: 0;
}
body#layout #sidebar, body#layout #sidebar-wrapper {
padding: 0;
width: 240px;
}
-->
skip to main |
skip to sidebar
History Johnny's
ค่ายที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้คือค่ายยักษ์ใหญ่จอนนี่แฟมมิลี่นั่นเอง ก่อนจะพูดถึงที่มาที่ไปของค่ายจอห์นนี่ เราไปทำความรุ้จักกับบิ๊กบอสใหญ่เจ้าของค่าย หรือที่รู้จักกันในนามจอห์นนี่ซังกันดีกว่า จอห์นนี่ซังหรือที่แฟนๆ ชาวไทยเรียกกันว่าปู่...เอ้ย คุณจอห์นนี่มีชื่อจริงว่า คุณจอห์นนี่ เอช คิตาคะวะ หรือจอห์นนี่ ฮิโรมุ คิตาคาวะนั่นเอง บิ๊กบอสใหญ่ประจำค่ายจอห์นนี่ เกิดวันที่ 23 ตุลาคม 1931 นับอายุอานาม้กอประมาณ 74 ปี กว่าๆ ก่อนที่จะมีโอกาสศึกษาประวัติของคุณจอห์นนี่ เราเองไม่รุ้มาก่อนเลยว่าบิ๊กบอสคนนี้เปนคนที่มีชีวิตไฮโซเอามากๆ อย่างแรกเลยก้อคือ จอห์นนี่ซังเกิดแล ะเติบโตในเมืองลอสแองเจอลิสประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะบุตตรชายคนที่สองของตระกูลคิตาคาวะ และสาเหตุที่จอห์นนี่ ซังไปเกิดและใช้ชีวิตอยุ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก้อเพราะว่าช่วงนั้นคุนพ่อซึ่งเป็นพระของลัทธิชินชูโอยะนั้นถูกส่งไปประจำอยุ่ที่สาขาย่อยของงวัดฮิงาชิฮอนกันจิ ในเมืองลอสแองเจอลิสเปนเวลานานนับสิบปีนั่นเอง (พระญี่ปุ่นเค้าแต่งงานมีครอบครัวในระหว่างชีวิตบวชได้) เนื่องจากคุณแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังสาว จอห์นนี่ซังจึงต้องใช้ชีวิตอยุ่ในอเมริกากับคุนพ่อ และมีพี่สาวที่อายุมากกว่าสองปี ซึ่งก้อคือแมรี่ซัง จนมีอายุครบ11 ปี ก่อนเดินทางกลับมายังประเทศญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน ปี 1942 เพรากลัวลูกหลงจากสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง สิ้นสุดลงจอห์นนี่ซัง และแมรี่ซังได้ตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาอีกครั้งเพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย ทันทีที่สำเร็จการศึกษาจากมหาลัยในเมืองลอสแองเจอลิส จอห์นนี่ซังเดินทางกลับมายังประเทศญี่ปุนอีกครั้ง และเข้าทำงานในสถานทูตของอมเริกาในฐานะล่ามแปลภาษา ก่อนจะถูกส่งตัวไปเข้าร่วมกองทัพของอมเริกาในสงครามเกาหลี ทันทีที่ปลดประจำการจากกองทัพอเมริกา จอห์นนี่ซังตัดสินใจลาออกจากสถานทูตอเมริกา และสมัครเข้าเรียนระดับปริญญาตรีในมหาลัยโซเฟีย ในระหว่างที่กะลังเรียนอยุ่ในมหาลัยโตเกียว จอห์นนี่ซังฟอร์มวงดนตรีร่วมกับเพื่อนๆ ซึ่งนับเปนจุดเริ่มต้นที่ทำมห้มีโอกาสเข้าไปคลุดคลีกับวงการบันเทิง และด้วยความสนใจในด้านวงการบันเทิง จอห์นนี่ซังจึงสมัครเข้าเปนพนักงานบริษัท “วาตานาเบะ โปรดักชั้น” โปรดักชั่นเฮ้าส์ชื่อดังในยุคนั้นทันทีที่เรียนจบจากมหาลัยโซเฟีย นอกจาความสามารถด้านงานบันเทิงแล้ว ด้วยความสนใจกีฬาเบบสบอลเปนการส่วนตัวจึงทำให้จอห์นนี่ซัง เริ่มรวยรวมเดกผู้ชายที่มีความสามารถด้านกีฦาเบสบอบลให้เข้าร่วมเปนสมาชิกของทีมเบสบอลจอห์นนี่ส์ ในฐานะโค้ชของทีม จอห์นนี่ซังมักจะพาสมาชิกไปฝึกซ้อมกันที่สวนสาธารณะโยโยงิในกรุงโตเกียวอยุ่เสมอ ถึงตรงนี้ทุกคนคงรุ้แลว้ล่ะสิว่า จุดหักเหที่ทำให้จอห์นนี่ซังผันตัวจากโค้ชทีมเบสบอลมาเปิดบริษัทนั้นคืออะไร... เรื่องของเรื่องก้อทีอยุ่ว่า เย็นวันหนึ่งจอห์นนี่ซังนัดแนะกับบรรดาสมาชิกไว้ว่า จะไปซ้อมเบสบอลกันตามปกติ แต่บังเอิญฝนเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก โค้ชจอห์นนี่จึงเปลี่ยนใจพาลูกทีมไปดูหนังเรื่อง West side Story แทน และด้วยความประทับใจในหนังนี่เอง ที่เปนแรงบันดาลใจให้จอห์นนี่ซังตัดสินใจหันมาจับงานสายบันเทิง โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งบริษัท Johnny’s และมีศิลปินในสังกัด กลุ่มแรกคือ สมาชิกทีมเบสบอล “จอห์นนี่ส์” นั่นเอง (แสดงว่าหนุ่มพวกนี้ต้องหน้าตาดีมมากๆ) ที่ผ่านมาคงมีหลายคนเข้าใจผิดถึงที่มาของชื่อบริษัทจอห์นนี่ส์ หรือ Johnny & Associates ว่าใช้ชื่อนี้ เพราต้องการสื่อให้รุ้ว่าเปนบริษัทของคุณจอห์นนี่ แต่ความจิงแล้วจอห์นนี่ซังต้องการสื่อให้รุ้ว่าบริษัทของตนเองนั้นเปนต้นสังกัดของ กลุ่มศิลปิน “จอห์นนี่ส์” จึงได้นำเอาชื่อของศิลปินกลุ่มนี้มาตั้งเปนชื่อบริษัท สำหรับการตั้งต้นเป็นเอกเทศของจอห์นนี่ซังนั้นมีแหล่งข่าวบางกระแสรายงานว่า ในช่วงแรกที่ตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง จอห์นนี่ซังยังคงขอร้องวาตานาเบะ โปรดักชั่นเป็นผู้ดูแลกลุ่มศิลปินจอห์นนี่ส์ให้ แล้วจึงค่อยย้ายสังกัดให้บรราหนุ่มๆมาอยู่ในค่ายจอห์นนี่ส์ หลังจากที่กิจการของบริษัทเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว แต่กลับมีแหล่งข่าวบางกระแสกลับรายงานว่า ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มศิลปินจอห์นนี่ส์นั้นสังกัดอยู่กับวาตานาเบะโปรดักชั่นตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม จอห์นนี่ซังพยายามใช้ความสนิทสนมในฐานะโค้ชทีมเบสบอลเกลี้ยกล่อมให้บรรดาหนุ่มๆจอห์นนี่ส์ยอมย้ายสังกัดมาอยู่กับบริษัทของตนเอง ซึ่งเหตุการณ์ตั้งกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กลับวาตานาเบะโปรดักชั่นเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนแขนงต่างๆให้ทำการบอยคอตศิลปินจากค่ายจอห์นนี่ส์กันเลยทีเดียว... จริงเท็จประการใดก็คงต้องให้สาวกจอนนี่ห์เป็นคนตัดสินกันเองแล้วละว่าจะเชื่อใคร เพราะเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่พวกเราจะเกิดหลายสิบปี.. ในช่วงแรกของการก่อตั้งบริษัทจอห์นนี่ส์เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบริษัทผู้ผลิตละครเวทีหรือมิวสิคัส แต่ไปๆมาๆด้วยความที่มีแต่กลุ่มศิลปินไอดอลหนุ่มๆหน้าตาดีอยู่ในสังกัดจึงทำให้ในปัจจุบันค่ายจอห์นนี่ส์มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะบริษัทต้นสังกัดของกลุ่มศิลปินไอดอลหนุ่มหน้าตาดีไปโดยปริยาย สำหรับแวดวงบันเทิงของญี่ปุ่นแล้วเป็นที่รู้จักกันว่าค่ายจอห์นนี่ส์เป็น 1 ใน 3 ค่ายยัก์ชื่อใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลต่อวงการบันเทิงเป็นอย่างมาก ( อีกสองค่ายคือ โยชิโมโตะ โคเงียว และ เบิร์นนิ่ง โปรดักชั่น ) ทั้งสามค่ายนี้จะมีการดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับอตีดศิลปินที่ลาออกจากค่าย โดยขอความร่วมมือ(แกมบังคับ) ไปยังสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ รวมทั้งสิ่งพิมพ์ต่างๆให้ปฏิเสธการนำเสนอข่าวคราวเกี่ยวกับศิลปินคนนั้นๆ ทำให้มีศิลปินจำนวนน้อยคนที่สามารถกลับมาประสบความสำเร็จในวงการได้อีกหลังจากลาออกจากค่ายจอห์นนี่ส์ไปแล้ว นอกจากนั้นสำหรับศิลปินที่ทางค่ายรู้รพแคะระคายว่ากำลังเตรียมตัวที่จะย้ายสังกัดไปอยู่กับบริษัทอื่นก็จะโดนจัดการขั้นเด็ดขาด โดยบอกยกเลิกสัญญาแบบสายฟ้าแลบด้วยข้ออ้างต่างๆนานาโดยไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน เท่านั้นยังไม่พอทางจอห์นนี่ส์ยังมีนโยบายไม่ส่งศิลปินของตนเข้าร่วมรายการโทรทัศน์ใดๆก็ตามที่มีการเชิญศิลปินค่ายคู่แข่งไปร่วมในวันเดียวกัน ยกเว้นงานใหญ่จริงๆอย่าง Kohaku Utagassen เป็นต้น ช่วงที่ถือว่าบริษัทจอห์นี่ส์ประสบความสำเร็จสูงสุดคือ ช่วงที่กลุ่มศิลปินไอดอลที่เน้นหนักทางด้านการร้องเพลง และแสดงละคร อย่าง Tanokin Trio (โทชิฮิโกะ ทาฮาระ, มาซาฮิโกะ คอนโด , โยชิโอะ โนมุระ ) Shibuhgaitai (มาซาฮิโระ โมโตกิ , ฮิโรฮิดะ ยากุมารุ , โยชิคาสึ ฟุกาวะ ) Shonentai ( คาสึคิโอะ นิชิกิโอริ , โนริยูกิ ฮิงาชิยามะ , คัตสึฮิเดะ อุเอสุเกะ ) รวมทั้ง Hikaru Genji ( โคจิ อุจิอุมิ , มิกิโอะ โอซาวะ , คาสึมิ โมโรโฮชิ , ฮิโรยูกิ ซาโต้ , จุนอิจิ ยามาโมโตะ , อากิระ อากาซากะ , อัตสึฮิโร่ ซาโต้ ) หลังจากหมดยุคไอดอลเฟื่องฟู บรัทจอห์นนี่ส์จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการบริหารงาน โดยเริ่มเน้นหนักการสร้างไอดอลสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถรองรับได้ทั้งการร้อง การเต้น การแสดง รวมทั้งต้องได้รับการฝึกฝนให้พูดคุยได้อย่างสนุกสนาน พอที่จะรับงานพิธีกรรายการวาไรตี้ต่างๆได้อีกด้วย ศิลปินกลุ่มแรกที่ได้รับการฝึกฝนวิชา “ไอดอลสายพันธุ์ใหม่” นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากห้าหนุ่ม ( เมื่อก่อนมี 6 ) SMAP นั่นเอง ซึ่งก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะหลังจากเปลี่ยนแนวทางการบริหารแล้วศิลปินทุกวงในสังกัดของค่ายจอห์นนี่ส์นั้นสามารถโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงได้ยาวนานยิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับศิลปินประภทไอดอลที่มักมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ได้ไม่นานเกิน 6-7 ปี ยกเว้น Shonentai ซึ่งเป็นกลุ่มศิลปินที่มีความเป็นวาไรตี้อยู่ในตัวสูงมาตั้งแต่แรก ส่งผลให้สามารถอยู่คงกระพันในวงการบันเทิงมาได้อย่างยาวนานกว่า 20 ปี มาดูเรื่องราวซึ่งเป็นที่จับตามองของทั้งสาวกจอห์นนี่ส์และสาวกของศิลปินค่ายอื่นๆกันบ้างดีกว่า ก็อย่างที่รู้ๆกันละว่าทั้งตัวบิ๊กบอสจอห์นนี่ซังเองและศิลปินหนุ่มๆที่สังกัดอยู่ในค่ายนั้นมักตกเป็นเป้าโจมตีของบรรดาปาปารัสซี่อยู่เสมอ - 2 กรกฏาคม 2000 บริษัทจอห์นนี่ห์ยื่นเรื่องฟ้องบริษัทบีแอนด์บี โปรดักชั่น ในคดีที่ประธาบบริษัทรวมทั้งเจ้าหน้าที่อีกสี่คน ในข้อหาขู่กรรโชกและทำร้ายร่างกายโก โมริตะ 1 ในสมาชิก V6 และ ยาสุโกะ แมรี่ ฟุจุชิมะ ( ชื่อหลังแต่งงานของแมรี่ซัง ) โดยทางฝ่ายจอห์นนี่ส์เป็นผู้ชนะคดีไปอย่างสวยงาม - 3 กรกฏาคม 2003 สำนักสรรพยากรโตเกียวสำรวจพบว่าบริษัมจอห์นนี่ห์มีการหลบเลี่ยงการเสียภาษีเป็นจำนวนเงินมากถึง 350 ล้านเย็น จนกลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่ว - 27 กุมภาพันธ์ 2004 นิตยาสาร “ชูกันบุนชุน” เผยแพร่ข่าวสำคัญเกี่ยวกับการที่จอห์นนี่ซังมีพฤติกรรมส่อไปทางล่วงละเมิดทางเพศศิลปินในสังกัดของตนเอง - 16 กรกฏาคม 2004 ศาสโตเกียวพิจารณาตัดสินให้สำนักพิมพ์ Shufu to seikatsu เจ้าของนิตยาสาร “ชูกันโจะเซ” ชำระค่าเสียหานมูลค่า 1 ล้านเยน ให้กับฮิเดอากอ ทากิซาว่า ในคดีละเมิสิทธิส่วบุคคล ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทักกี้และต้นสังกัดฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินมากถึง 110 ล้านเย็น - 12 พฤศจิกายน 2004 บริษัทจอห์นนี่ส์จัดการแข่งขันเบสบอลการกุศลขึ้นที่โตเกียวโดม โดยนำรายได้ทั้งหมดไปสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวนาริตะ และหลังจากนั้นยังมีการจัดตั้งมูลนิธิ JohnnyCharity Fund เพื่อนำเป็นกองทุนช่วยเหลือเด็กๆที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติดังกล่าว - 15 กรกฏาคม 2005 บริษัทจอห์นนี่ส์ยื่นอุธรณ์ในคดีของทักกี้อีกครั้ง โดยเรยกค่าเสียหายทั้งหมด 11 ล้านเยน แต่ศาลพิจารณายกฟ้อง - 16 กันยายน 2005 บริษัทจอห์นนี่ส์จับมือกับพิพิทธภัณฑ์การแสดงของมหาวิทยาลัยวาเซตะ จัดการแสดงละครเวทีขึ้นที่ Tokyo Glove Theatre ภายใต้โปรเจ็ค @ the glove project ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องยาวนาน 3 ปี สำหรับคัดเลือกนักศึกษาสาขาการแสดงที่มีฝีมือเข้าสู่วงการผ่านการแสดงละครเวทีเรื่องต่างๆ Credit: J-Spy เล่ม 81 ของ no_muzume
1 comment:
โอ้!!!
ว้าว!!!
ประวัติจอห์นนี่สุดยอดไปเลย
แต่เราอยากรู้จังเลยว่ามีสมาชิกในค่ายมีใครบ้างอะ
Post a Comment